คำราชาศัพท์

คำราชาศัพท์
คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ
คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของ ไทย
แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย
แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงใน
ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ
ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
2.พระบรมวงศานุวงศ์
3.พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
4.ขุนนาง ข้าราชการ
5.สุภาพชน
บุคคลในกลุ่มที่
1 และ 2
จะใช้ราชาศัพท์ชุดเดียวกัน เช่นเดียวกับบุคคลในกลุ่มที่ 4 และ 5
ก็ใช้คำราชาศัพท์ในชุดเดียวกันและเป็นคำราชาศัพท์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำใน
สังคมมนุษย์เราถือว่าการให้เกียรติแก่บุคคลที่เป็นหัวหน้าชุมชน
หรือผู้ที่ชุมชนเคารพนับถือนั้น เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษา
ต่างยกย่องให้เกียรติแก่ผู้เ ป็นประมุขของชุมชนด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นแทบทุกชาติ
ทุกภาษาจึงต่างก็มีคำสุภาพสำหรับใช้กับประมุขหรือผู้ที่เขาเคารพนับถือ
จะมากน้อยย่อมสุดแต่ขนบประเพณีของชาติ
และจิตใจของประชาชนในชาติว่ามีความเคารพในผู้เป็นประมุขเพียงใด เมืองไทยเราก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ
และพระประมุขของเรา แต่ละพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความ
เคารพสักการะอย่างสูงสุดและมีความจงรกภักดีอย่างแนบแน่นตลอดมานับตั้งแต่
โบราณกาลจนถึงปัจจุบันคำราชาศัพท์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด
ในแหล่งอ้างอิงบางฉบับได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า
คนไทยเริ่มใช้คำราชาศัพท์ในรัชสมัยพระธรรมราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย เพราะศิลาจารึกต่างในแผ่นดินนั้น
รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ของท่าน คือไตรภูมิพระร่วงปรากฏว่ามีคำราชาศัพท์อยู่หลายคำ
เช่น ราชอาสน์ พระสหาย สมเด็จ ราชกุมาร เสด็จ บังคม เสวยราชย์ ราชาภิเศก เป็นต้น
บางท่านกล่าวว่า
คำราชาศัพท์นั้นเริ่มใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะพระปฐมบรมกษัตริย์ที่ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา
ทรงนิยมเขมร ถึงกับเอาลัทธิและภาษาเขมรมาใช้ เช่น เอาคำว่า "สมเด็จ"
ซึ่งเขมรใช้เป็นคำนำพระนามพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นคำนำพระนามของพระองค์ และใช้ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์
และจากหลักฐานที่พบข้อความในศิลาจารึกวัดศรีชุม
กล่าวถึงเรื่องตั้งราชวงศ์และเมืองสุโขทัยตอนหนึ่งมีความว่า
"พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเสกพ่ขุนบางกลางหาวใหเมืองสุโขไท" คำว่า
"อภิเษก" นี้เป็นภาษาสันสกฤต
ไทยเรารับมาใช้สำหรับพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งชั้นสูง จึงอยู่ในประเภทราชาศัพท์
และพิธีนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์สุโขทัย จึงน่าสงสัยว่าในสมัยนั้นอาณาจักรสุโขทัยนี้
ก็คงจะมีการใช้คำราชาศัพท์บางคำกันแล้ว
ภาษาที่ใช้คำราชาศัพท์
คำราชาศัพท์มิได้มีที่มาจากภาษาไทยภาษาเดียว
ด้วยว่าการใช้คำราชาศัพท์เป็นการใช้ด้วยตั้งใจ จะทำให้เกิดความรู้สึกยกย่อง
เทิดทูน จึงได้เจาะจงรับคำในภาษาต่างๆ
ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยมาใช้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะภาษาที่นับถือกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์
คำราชาศัพท์ส่วนใหญ่จึงมีที่มาจากภาษาต่างประเทศมากมาย
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำราชาศัพท์จำนวนไม่น้อยที่ใช้คำภาษาไทยแท้
ซึ่งเป็นคำสามัญยกระดับขึ้นเป็นคำราชาศัพท์
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าคำราชาศัพท์นั้นมีที่มาจากทั้งภาษาต่างประเทศและ
ภาษาไทยของเราเอง ดังจะได้พิจารณาต่อไปนี้จากภาษาต่างประเทศ
ตั้งแต่สมัยโบราณมา
คนไทยได้ติดต่อกับคนต่างชาติต่างภาษามากมาย ในบรรดาภาษาทั้งหลายเหล่านั้น
มีบางภาษาที่เรายกย่องกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็ได้แก่ ภาษาเขมร
บาลี และสันกฤต ภาษาอื่นๆก็นำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์บ้าง
แต่ก็ไม่มากและสังเกตได้ชัดเจนเท่า 3
ภาษาที่กล่าวแล้วคำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ
คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของ ไทย
แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย
แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงใน
ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ
ดังต่อไปนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
พระบรมวงศานุวงศ์
พระภิกษุสงฆ์
สามเณร
ขุนนาง
ข้าราชการ
สุภาพชน
บุคคลในกลุ่มที่
1 และ 2
จะใช้ราชาศัพท์ชุดเดียวกัน เช่นเดียวกับบุคคลในกลุ่มที่ 4 และ 5
ก็ใช้คำราชาศัพท์ในชุดเดียวกันและเป็นคำราชาศัพท์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำใน
สังคมมนุษย์เราถือว่าการให้เกียรติแก่บุคคลที่เป็นหัวหน้าชุมชน
หรือผู้ที่ชุมชนเคารพนับถือนั้น เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ ทุกชาติ
ทุกภาษา ต่างยกย่องให้เกียรติแก่ผู้เ ป็นประมุขของชุมชนด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นแทบทุกชาติ
ทุกภาษาจึงต่างก็มีคำสุภาพสำหรับใช้กับประมุขหรือผู้ที่เขาเคารพนับถือ
จะมากน้อยย่อมสุดแต่ขนบประเพณีของชาติ
และจิตใจของประชาชนในชาติว่ามีความเคารพในผู้เป็นประมุขเพียงใด
เมืองไทยเราก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ และพระประมุขของเรา แต่ละพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ
จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความ
เคารพสักการะอย่างสูงสุดและมีความจงรกภักดีอย่างแนบแน่นตลอดมานับตั้งแต่
โบราณกาลจนถึงปัจจุบันคำราชาศัพท์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด
ในแหล่งอ้างอิงบางฉบับได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า
คนไทยเริ่มใช้คำราชาศัพท์ในรัชสมัยพระธรรมราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย เพราะศิลาจารึกต่างในแผ่นดินนั้น
รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ของท่าน คือไตรภูมิพระร่วงปรากฏว่ามีคำราชาศัพท์อยู่หลายคำ
เช่น ราชอาสน์ พระสหาย สมเด็จ ราชกุมาร เสด็จ บังคม เสวยราชย์ ราชาภิเศก เป็นต้น
บางท่านกล่าวว่า
คำราชาศัพท์นั้นเริ่มใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะพระปฐมบรมกษัตริย์ที่ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา
ทรงนิยมเขมร ถึงกับเอาลัทธิและภาษาเขมรมาใช้ เช่น เอาคำว่า "สมเด็จ"
ซึ่งเขมรใช้เป็นคำนำพระนามพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นคำนำพระนามของพระองค์
และใช้ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์
และจากหลักฐานที่พบข้อความในศิลาจารึกวัดศรีชุม
กล่าวถึงเรื่องตั้งราชวงศ์และเมืองสุโขทัยตอนหนึ่งมีความว่า
"พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเสกพ่ขุนบางกลางหาวใหเมืองสุโขไท" คำว่า
"อภิเษก" นี้เป็นภาษาสันสกฤต
ไทยเรารับมาใช้สำหรับพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งชั้นสูง จึงอยู่ในประเภทราชาศัพท์
และพิธีนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์สุโขทัย จึงน่าสงสัยว่าในสมัยนั้นอาณาจักรสุโขทัยนี้
ก็คงจะมีการใช้คำราชาศัพท์บางคำกันแล้ว
ภาษาที่ใช้คำราชาศัพท์
คำราชาศัพท์มิได้มีที่มาจากภาษาไทยภาษาเดียว
ด้วยว่าการใช้คำราชาศัพท์เป็นการใช้ด้วยตั้งใจ จะทำให้เกิดความรู้สึกยกย่อง
เทิดทูน จึงได้เจาะจงรับคำในภาษาต่างๆ
ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยมาใช้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะภาษาที่นับถือกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์
คำราชาศัพท์ส่วนใหญ่จึงมีที่มาจากภาษาต่างประเทศมากมาย
อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำราชาศัพท์จำนวนไม่น้อยที่ใช้คำภาษาไทยแท้
ซึ่งเป็นคำสามัญยกระดับขึ้นเป็นคำราชาศัพท์
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าคำราชาศัพท์นั้นมีที่มาจากทั้งภาษาต่างประเทศและ
ภาษาไทยของเราเอง ดังจะได้พิจารณาต่อไปนี้จากภาษาต่างประเทศ
ตั้งแต่สมัยโบราณมา
คนไทยได้ติดต่อกับคนต่างชาติต่างภาษามากมาย ในบรรดาภาษาทั้งหลายเหล่านั้น
มีบางภาษาที่เรายกย่องกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็ได้แก่ ภาษาเขมร
บาลี และสันกฤต ภาษาอื่นๆก็นำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์บ้าง
แต่ก็ไม่มากและสังเกตได้ชัดเจนเท่า 3
ภาษาที่กล่าวแล้ว
การเรียนรู้เรื่องคำราชาศัพท์
ตามที่หลายคนคิดว่าคำราชาศัพท์เป็นเรื่องของในรั้วในวัง
เป็นเรื่องของผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคคลบาทนั้น ทำให้คิดต่อไปอีกว่า
คำราชาศัพท์เป็นเรื่องยากซึ่งเมื่อก่อนอาจเป็นจริง
แต่ปัจจุบันคำราชาศัพท์เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
แม้มิได้ใช้มากเท่ากับภาษาสามัญที่ใช้อยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันแต่ทุกคน
โดยเฉพาะผู้มีการศึกษาก็ต้องมีโอกาสที่จะสัมผัสกับคำราชาศัพท์ทุกวัน
ไม่โดยตรงก็โดยทางอ้อม โดยเฉพาะทางสื่อมวลชน
การเรียนรู้วิธีใช้คำราชาศัพท์นั้น
กล่าวโดยสรุป ต้องเรียนรู้ใน 2 ประการ คือ
เรียนรู้คำ ประการหนึ่งกับ เรียนรู้วิธี อีกประการหนึ่ง
เรียนรู้คำ
คือ ต้องเรียนรู้คำราชาศัพท์
เรียนรู้วิธี
คือ ต้องเรียนรู้วิธีหรือเรียนรู้ธรรมเนียมการใช้คำราชาศัพท์
คำราชาศัพท์หมวดร่างกาย

คำราชาศัพท์หมวดกริยา

คำราชาศัพท์หมวดเครือญาติ

คำราชาศัพท์หมวดเครื่องใช้

ประโยชน์ของการเรียนรู้คำราชาศัพท์
เพราะเหตุที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สูงสุดของ ประเทศมาแต่โบราณ พระเจ้าแผ่นดินทรงใกล้ชิดกับประชาชนอย่างแนบแน่นประการหนึ่ง คำราชาศัพท์นั้นเป็นแบบอย่างวัฒนธรรมอันดีทางด้านการใช้ภาษาไทยประการหนึง และการอ่านหรือศึกษาวรรณคดีก็ดี การรับสารสื่อมวลชนในปัจจุบันก็ดี เหล่านี้ล้วนต้องมีคำราชาศัพท์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมออีกประการหนึ่ง ดังนั้นการเรียนรู้คำราชาศัพท์จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งทางตรงและทาง อ้อมมากมาย ดังจะเห็นได้ดังต่อไปนี้
ประโยชน์ทางตรง
เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า อันได้แก่
1. ประโยชน์จากการใช้คำราชาศัพท์ถูกต้อง ที่เรียกว่าใช้คำราชาศัพท์ถูกต้องนั้น คือ ถูกต้องตามบุคคลที่ใช้ว่าบุคคลใดควรใช้ราชาศัพท์ขั้นไหน อย่างไร ประการหนึ่ง ถูกต้องตามโอกาส คือ โอกาสใดใชคำราชาศัพท์หรือไม่เพียงใด ประการหนึ่ง และถูกต้องตามวิธีการใช้คือ ใช้ถูกต้องตามแบบแผนที่นิยมนั้นก็อีกประการหนึ่ง การใช้ราชาศัพท์ต้องใช้ทั้งความรุ้และประสบการณ์เป็นดุลยพินิจให้ถูกต้อง
2. ประโยชน์จากการเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจากการอ่านหนังสือประเภทต่างๆ เช่น วรรณกรรมทั่วไป วรรณคดี หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ทั้งหลาย โทรทัศน์ วิทยุ ตลอดจนสิ่งบันเทิงทั้งหลาย มีภาพยนต์ ละคร โขน ลิเก เป็นต้น เพราะการรับรู้ รับฟัง บางครั้งต้องมีสิ่งที่เรียกว่า คำราชาศัพท์ร่วมอยู่ด้วยเสมอ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ประโยชน์โดยทางอ้อม
เป็นประโยชน์ผลพลอยได้ แม้ตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้าหรือไม่ตั้งเป้าหมายไว้ก็ตาม คือ เมื่อรู้คำราชาศัพท์ดี ถูกต้อง ฟังหรืออ่านเรื่องราวที่มีคำราชาศัพท์เข้าใจผลประโยชน์พลอยได้ ก็จะเกิดขึ้นเสมอ ดังนี้
1. ธำรงรักษาวัฒนธรรมอันดีงานของชาติไว้ คือ รักษาให้คงอยู่ไม่เสื่อมสูญ ถือเป็นการธำรงรักษาวัฒนธรรมและความมั่นคงของประเทศชาติ
2. เพิ่มความมีเสน่ห์ในตัวบุคคล คือ บุคคลผู้รู้และใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง เป็นการแสดงออกซึ่ง
ความมีวัฒนธรรมอันดีงามทางภาษา
ความมีวัฒนธรรมอันดีงามทางภาษา
อ้างอิง
http://www.greatcadettutor.com/index.php/articles/thai-article-link/150-proverb16
2) ราชาศัพท์ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของชาติ การใช้ราชาศัพท์ที่ถูกต้องเป็นการแสดงความประณีต นุ่มนวล น่าฟังของภาษาอย่างหนึ่ง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของเรา
3) การเรียนรู้ราชาศัพท์ย่อมทำให้เราเข้าถึงรสของวรรณคดี เพราะในวรรณคดีมีราชาศัพท์ปนอยู่มาก จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ราชาศัพท์เพื่อช่วยให้เกิดความซาบซึ้งในรสคำประพันธ์นั้นๆ
4) การเรียนรู้ราชาศัพท์ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง ทำให้เข้าวงสมาคมได้โดยไม่เคอะเขิน ไม่เป็นที่เย้ยหยันของบุคคลที่พบเห็น การติดต่อกับบุคคลทั่วไปทั้งในวงสมาคมและ
วงราชการ หากไม่รู้จักใช้คำสุภาพตามฐานะแล้ว ย่อมได้รับการดูหมิ่นว่าไร้การศึกษา
เพิ่มเติมคำราชาศัพท์ ได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=2A1BtpVEznU
ที่มาและความสำคั
การเรียนภาษาไทยมีบทเรียนที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ บทเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ซึ่งทางคณะผู้จัดทำมีความคิดเห็นว่า คำราชาศัพท์ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่ศึกษาแล้วไม่ได้นำไปใช้ ดังนั้น ทางคณะผู้จัดทำ จึงได้จัดทำโครงงานภาษาไทยเรื่องคำราชาศัพท์ขึ้นเพื่อทำให้ผู้ที่ศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในคำราชาศัพท์มากขึ้น ทั้งยังได้รับความรู้เพิ่มเติมในด้านต่างๆเกี่ยวกับคำราชาศัพท์ที่ใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวันคือหมวดใดบ้าง และมีบทบาทต่อการดำรงคงชีวิติของ เราอย่างไรบ้างในการเรียนการสอน ทำให้การเรียนการสอนไม่น่าเบื่อ และผู้ที่ศึกษาจะได้มีความกระตือรือร้นในการศึกษามากยิ่งขึ้นด้วย
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ความรู้ในเรื่องคำราชาศัพท์
๒. เพื่อนำคำราชาศัพท์ไปใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละโอกาส
๓. เพื่อทำให้ผู้ศึกษามีความกระตือรือร้นในการเรียนมากยิ่งขึ้น
๔. เพื่อทำให้ผู้ศึกษามีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
๕. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของผลงานในการทำโครงงาน
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
ผู้ทำการศึกษาในเรื่องคำราชาศัพท์ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
1. ศึกษาคำราชาศัพท์ ที่มีอยู่ในบทเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
2. ศึกษาคำราชาศัพท์ จากอินเตอร์เน็ต
3. ศึกษาคำราชาศัพท์จากหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ
อ้างอิง http://www.susarn.com/susarnth/th_memorial_day/Prasrinakarin/memory/prachon.html
คำราชาศัพท์ที่ใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน
วีดีโอเกมราชาศัพท์
ความสำคัญของคำราชาศัพท์
1) เพื่อให้เราใช้ถ้อยคำในการพูดจาได้ไพเราะ ถูกต้องตามกาลเทศะและฐานะแห่งบุคคล เพราะราชาศัพท์มิได้หมายถึงคำพูดที่เกี่ยวกับพระราชาเท่านั้น2) ราชาศัพท์ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของชาติ การใช้ราชาศัพท์ที่ถูกต้องเป็นการแสดงความประณีต นุ่มนวล น่าฟังของภาษาอย่างหนึ่ง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของเรา
3) การเรียนรู้ราชาศัพท์ย่อมทำให้เราเข้าถึงรสของวรรณคดี เพราะในวรรณคดีมีราชาศัพท์ปนอยู่มาก จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ราชาศัพท์เพื่อช่วยให้เกิดความซาบซึ้งในรสคำประพันธ์นั้นๆ
4) การเรียนรู้ราชาศัพท์ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง ทำให้เข้าวงสมาคมได้โดยไม่เคอะเขิน ไม่เป็นที่เย้ยหยันของบุคคลที่พบเห็น การติดต่อกับบุคคลทั่วไปทั้งในวงสมาคมและ
วงราชการ หากไม่รู้จักใช้คำสุภาพตามฐานะแล้ว ย่อมได้รับการดูหมิ่นว่าไร้การศึกษา
เพิ่มเติมคำราชาศัพท์ ได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=2A1BtpVEznU
ที่มาและความสำคั
การเรียนภาษาไทยมีบทเรียนที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ บทเรียน เรื่อง คำราชาศัพท์ ซึ่งทางคณะผู้จัดทำมีความคิดเห็นว่า คำราชาศัพท์ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่ศึกษาแล้วไม่ได้นำไปใช้ ดังนั้น ทางคณะผู้จัดทำ จึงได้จัดทำโครงงานภาษาไทยเรื่องคำราชาศัพท์ขึ้นเพื่อทำให้ผู้ที่ศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในคำราชาศัพท์มากขึ้น ทั้งยังได้รับความรู้เพิ่มเติมในด้านต่างๆเกี่ยวกับคำราชาศัพท์ที่ใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวันคือหมวดใดบ้าง และมีบทบาทต่อการดำรงคงชีวิติของ เราอย่างไรบ้างในการเรียนการสอน ทำให้การเรียนการสอนไม่น่าเบื่อ และผู้ที่ศึกษาจะได้มีความกระตือรือร้นในการศึกษามากยิ่งขึ้นด้วย
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ความรู้ในเรื่องคำราชาศัพท์
๒. เพื่อนำคำราชาศัพท์ไปใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละโอกาส
๓. เพื่อทำให้ผู้ศึกษามีความกระตือรือร้นในการเรียนมากยิ่งขึ้น
๔. เพื่อทำให้ผู้ศึกษามีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
๕. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของผลงานในการทำโครงงาน
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
ผู้ทำการศึกษาในเรื่องคำราชาศัพท์ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
1. ศึกษาคำราชาศัพท์ ที่มีอยู่ในบทเรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
2. ศึกษาคำราชาศัพท์ จากอินเตอร์เน็ต
3. ศึกษาคำราชาศัพท์จากหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ
อ้างอิง http://www.susarn.com/susarnth/th_memorial_day/Prasrinakarin/memory/prachon.html